เทศน์บนศาลา

หลงเงา

๑๖ พ.ย. ๒๕๔๘

 

หลงเงา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความสุข เราจะหาความสุขกันนะ เราจะหาความสุข เขาหาความสุขจากข้างนอก เราจะหาความสุขจากภายใน ความสุขอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมานะ แล้ววางไว้เป็นธรรมและวินัย มันเป็นอริยประเพณี ถ้าเป็นประเพณีของพระอริยเจ้า เราจะเวียนเทียน เราจะลอยกระทงในหัวใจเรา เราจะทำบุญกุศลในหัวใจของเรา

แต่ถ้าเป็นประเพณีชาวโลก เห็นไหม ดูสิ เขาต้องจัดมหรสพ เขาต้องจัดสมโภชต่างๆ เพื่อเรียกร้องคนไง สิ่งที่เรียกร้องคนเพราะอะไร? นั้นเป็นประเพณีของเขา ประเพณีพื้นบ้านใช่ไหม แต่อริยประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก่อนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเสวยวิมุตติสุขในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยไว้เป็นประเพณีมา

สิ่งที่เป็นประเพณีมานี้ เพราะเวลาเผยแผ่ธรรมไปในชนบทประเทศ แม้แต่ในชนบทประเทศนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติธรรมไว้ ในสมัยพุทธกาล พระอาบน้ำ ลงไปสรงน้ำในท่า แล้วกษัตริย์เขาจะลงไปสรงน้ำ เขาเคารพธรรมวินัยมาก เคารพพระมาก เขาไม่กล้าลงไปสรงน้ำ จนมืดค่ำนะ กษัตริย์ลงไปสรงน้ำ อาบน้ำในท่าน้ำ แล้วเข้าราชวังไม่ทัน เขาปิดประตูเมืองก่อนไง นี่ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติไว้ ในชมพูทวีป ภิกษุ ๑๕ วันได้อาบน้ำหนหนึ่งนะ ถ้าใครอาบน้ำมากกว่านั้นปรับอาบัติ เว้นไว้แต่ทำนวกรรม เช่น เรากวาดวัด เราทำข้อวัตรถ้าเหงื่อออก ถ้ามีความร้อน เราอาบน้ำได้ คือการอาบน้ำสรงน้ำคือทำความสะอาดของร่างกาย แต่เขาไปอาบน้ำกันที่ท่าน้ำ ภิกษุว่ายน้ำเล่นเป็นปาจิตตีย์นะ ภิกษุทำอะไรเป็นการละเล่น เป็นปาจิตตีย์ทั้งหมดเลย

แต่เวลาชนบทประเทศ เวลาเผยแผ่ธรรมไป ชนบทประเทศให้อาบได้ เราอยู่บนชนบทประเทศ เวลาบัญญัติธรรมวินัย เห็นไหม ในพื้นที่ในภูมิประเทศ สิ่งที่เป็นพื้นที่ภูมิประเทศนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมไปเพื่อให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังได้ลิ้มรสของธรรมไง ในเมื่อชนบทประเทศ ประเพณีวัฒนธรรมของเขาในพื้นที่อย่างหนึ่ง

ดูในภาคกลางเรา เวลาเราลอยกระทง เรามีแม่น้ำ เรามีแหล่งน้ำลอยกระทง นี้เป็นการแสดงออก เป็นการแสดงออกการได้ทำบุญกุศล ถ้าผู้ที่ฉลาด เขาเป็นหัวหน้า เขาจะพาฝูงชนนั้นให้ระลึกถึงตัวเอง การกระทำอย่างนั้นเป็นบุญกุศลเพื่อสู่ใจไง สิ่งการกระทำเกิดจากใจ ผลมันก็จะลงที่ใจ สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิมันจะเป็นความถูกต้อง ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ การกระทำอย่างนั้น มันก็ทำให้เราห่างออกไปจากตัวเราเอง

แล้วดูในภาคเหนือสิ เขาไม่มีแหล่งน้ำ เขาอยู่บนภูเขา เขาอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร เขาจะเอาอะไรไปลอยกระทงล่ะ? เขาลอยกระทงไม่ได้ เขาก็ลอยโคมลอย สิ่งที่เขาทำโคมลอย เห็นไหม ดูสิ ดูคนมีปัญญา แม้แต่อยู่บนภูเขาอยู่ที่ราบสูง เขาก็ยังหาโอกาสทำบุญกุศลของเขาได้ ถ้าคนฉลาดอยู่ที่ไหนเขาก็หาคุณประโยชน์ใส่หัวใจเขาได้นะ สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับเขา เขาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็ลอยของเขาขึ้นไป

การลอยกระทง ในประวัติศาสตร์เขารื้อค้นขึ้นมาว่ามีก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การลอยกระทงมีมาแต่ดั้งเดิมเพราะคนถือผีถือสางกันมา สิ่งที่ถือผีกันมา สิ่งนี้มันไม่เป็นปัญหา เพราะการกระทำมันมีอยู่แล้ว มนุษย์เกิดมาก่อน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากใคร? เกิดมาจากบิดามารดา พระเจ้าสุทโธทนะ นี่สิ่งที่มนุษย์มีมาแต่ดั้งเดิม การกระทำมีมาทั้งนั้นนะ สิ่งที่การกระทำมี แต่มันทำผิดทำถูกล่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกประพฤติปฏิบัติ ไปรื้อค้นกับเจ้าลัทธิต่างๆ ในศาสนาต่างๆ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธนะ สิ่งที่มันไม่มีธรรมและวินัย เขาก็ว่าธรรมกัน...ธรรมของฤๅษีชีไพรไง

สิ่งที่ฤๅษีชีไพรเจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็ประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เจ้าชายสิทธัตถะก็ไปเรียนกับเขานะ นี่พุทธวิสัย นี่วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พระโพธิสัตว์สร้างสมบุญญาธิการมามหาศาลเลย แล้วไปทดสอบมาแล้ว เราไม่ต้องไปตื่นข่าวหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทดสอบมาหมดแล้ว...ไม่มี แม้แต่เวลาจะปรินิพพาน นี่สุภัททะมาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ลัทธิไหนเขาว่ายอดเยี่ยม ลัทธิไหนก็ว่าดี ศาสนาไหนเขาก็ว่าของตัวเองดีที่สุด” แล้วสุภัททะเขาก็เป็นพราหมณ์ เป็นผู้ที่มีปัญญามาก สิ่งที่มีปัญญามากนี่เพราะอะไร เพราะเป็นสาวกะ สาวก ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีปัญญาไง ไม่มีบารมีธรรมสามารถแยกแยะได้

แต่เจ้าชายสิทธัตถะ นี่พุทธวิสัย สิ่งที่สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า แยกแยะได้นะ ทดสอบด้วย เข้าไปศึกษากับเขา ไปทดสอบกับเขา ไปลองกับเขา จนศาสดาต่างๆ บอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะเรียนก็จบแล้ว วิชาการนี่สอนหมดแล้วนะ ขณะที่ยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังปฏิเสธเลย “อย่างนี้ไม่ใช่” เพราะอะไร เพราะยังไม่เกิดปัญญาญาณจากภายใน ไม่สามารถชนะตัวตนของตัวเองได้ ไม่สามารถชำระกิเลสในหัวใจของเราได้

นี่สุภัททะก็ถือตัวถือตน ถือว่าตัวเองเป็นนักปราชญ์ไง ถือว่าตัวเองเป็นพราหมณ์ รู้วิชาไตรเพททั้งหมด แล้วก็เจ้าลัทธิไหนก็ดีๆ เห็นไหม มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวันสุดท้ายที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ คนจะตายอยู่แล้ว แต่เพราะการเกิดและการตายหลอกกัน พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระศาสดา แล้วสอนสิ่งนี้ไง การเกิดและการตาย สิ่งนี้ไม่สามารถทำให้หัวใจนี้กระเพื่อมได้

“สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย เวลาของเรามีน้อย ศาสนาไหนไม่มีเหตุ ศาสนานั้นไม่มีผล ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ สิ่งที่บนอากาศ รอยเท้าจะไปอยู่บนอากาศไม่ได้รอยเท้าต้องอยู่บนพื้นดิน”

นี่ก็เหมือนกัน “ในเมื่อศาสนาไหนไม่มีเหตุ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล อย่าถามให้มากไปเลย” ให้บวชให้ทดสอบ ทดสอบเลย สุภัททะบวชในคืนนั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในคืนนั้นนะ นี่เอหิภิกขุองค์สุดท้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาให้เราเกิดความสุขจากภายใน เกิดจากอริยประเพณี สิ่งที่การกระทำของเจ้าลัทธิต่างๆ ในสมัยปัจจุบันนี้มันน่าสังเวชกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกแสวงหา ปัญจวัคคีย์ออกอุปัฏฐาก ออกอุปัฏฐากเพื่ออะไร? เพื่อให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา เพื่อจะได้เอาวิชาการอย่างนี้ เอามรรคญาณอันนี้มาสั่งสอน รอหวังผลมากนะ

สิ่งที่ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามรื้อค้น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้วที่ศาสนานี้มี แล้วมีการรื้อค้นกัน มีการประพฤติปฏิบัติกัน ของที่มียังหาไม่ได้ ของที่ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังรื้อค้นมาได้ แล้วของที่มีอยู่นี่ พระไตรปิฎกเป็นตู้ๆ ธรรมและวินัยวางอยู่นี่ ของที่มีมีอยู่นี่ ทำไมมันเดินชนไม่รู้สิ่งนี้เลย เห็นไหม นี่มันน่าสังเวชไหม มันน่าสังเวชกับใจของเรานะ

แล้วเราเกิดมา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติไหม ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันต้องมีปริยัติการศึกษาเล่าเรียน ถ้ามีการศึกษาเล่าเรียน ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้ามีการศึกษาเล่าเรียน ศึกษาแล้วศึกษาโดยกิเลส ศึกษาโดยทิฏฐิมานะ ศึกษาโดยตัวตนของเรา ทุกคนจะว่าตัวเองมีปัญญามาก ทุกคนจะถือตัวถือตน เวลาศึกษาไปก็ศึกษาโดยเราเข้าใจโดยเรา สิ่งที่เข้าใจโดยเรา สิ่งที่ต่างๆ นี่ศึกษามาแล้วก็มาเผยแผ่ธรรมกันไง

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา “ถ้าไม่รู้ไม่ให้สอน ถ้าไม่เข้าใจไม่ให้พูด” ทองคำถ้าอยู่ในเหมือง สิ่งนี้เป็นทองคำที่มีแร่สารต่างๆ ปนเปื้อนอยู่ ถ้าทองคำในสิ่งที่ทองคำหลอมแล้ว สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์มาก เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสถิตในใจของใคร? สถิตในใจของผู้มีกิเลส กิเลสมันเจือปนไปด้วย แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสถิตในใจของครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรารื้อค้น ประพฤติปฏิบัตินะ ผู้รู้ที่รู้มีความเข้าใจ

ดูสิ ในการเผยแผ่ธรรมในสถานที่ต่างๆ สิ่งนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรมก็ให้เขารื้อค้นของเขา เพื่อให้เขาทำประโยชน์ของเขา ผู้ที่มีปัญญานะ อยู่ที่ไหนก็เป็นประโยชน์หมดเลย ปัญญานี่สามารถเป็นประโยชน์มาก ปัญญานี้แก้ไขเหตุการณ์วิกฤติต่างๆ ก็ปัญญานี้แก้ไขได้ แล้วถ้ามีสติอีกด้วย คนที่มีสติมีปัญญา แล้วผู้ที่ไม่มีมีกิเลสในหัวใจจะไม่ตื่นเต้นไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม ๘ สิ่งที่ไม่หวั่นไหวกับโลกธรรม ๘ รู้ถึงความรู้สึกของเรา รู้ถึงความรู้สึกต่างๆ รู้โดยความรู้สึกด้วย รู้ด้วยปัญญาด้วย จะสั่งสอนก็ได้ ไม่สั่งสอนก็ได้

“ไม่สั่งสอน” เห็นไหม ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงชักสะพานล่ะ นี่เวลาฆ่านะ ฆ่าโดยธรรม แค่ครูบาอาจารย์เราไม่พูดด้วย สิ่งนี้มันก็เป็นการชักสะพานแล้ว ชักสะพานเพราะอะไร เพราะมันมีทิฏฐิมานะไง สิ่งที่เป็นทิฏฐิมานะ สิ่งที่ดื้อรั้น สิ่งความเป็นอย่างนั้น มันเป็นอยู่ในหัวใจ ถ้าสิ่งนั้นอยู่ในหัวใจ มันจะเป็นประโยชน์อะไรล่ะ

ถ้าเราไปหาครูหาอาจารย์ ทำไมเราต้องขอนิสัย เราขอนิสัยท่าน เราต้องการความรู้จากท่าน เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ของเรานะ แค่พอสบตานี่รู้เลยว่าท่านต้องการอะไร ท่านหวังอะไร สิ่งที่สบตาเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราแสดงออกนี่แสดงออกโดยกิเลสทั้งนั้น เรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา แล้วเราเรียนปริยัติมาไง นี่หลงตื่นเงาของตัวเองนะ ทุกคนหลงเงาของตัวเองว่าตัวเองมีความรู้ มีปัญญามาก สิ่งที่เป็นปัญญามันเป็นเรื่องของอาการของใจ ไม่ใช่ใจ

เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไปศึกษา เราก็ไปจำสัญญามา สิ่งนั้นมันแก้กิเลสไหมล่ะ? เราก็เห็นทั่วๆ ไป ทางโลกเขาเขาประกอบสัมมาอาชีวะ เขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โต เขามีเงินมีทองมหาศาลเลย เราก็จะทำอย่างนั้น โอกาสมันต่างกัน ขณะที่เขาทำมา เขาประสบความสำเร็จไปแล้ว แล้วจะมีผู้เลียนแบบ มีผู้ทำตาม มันต้องมีการแข่งขันไป เราจะไปทำตามกับเขาอีก...เราเห็นเขาทำ เราจะทำตามเขา เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

แต่ถ้าเรารื้อค้นของเรากลับมาในหัวใจของเรา เราทำตามสิ่งที่โอกาสของเรา อำนาจวาสนาของเรา นี่เราจะไม่ตื่นเงา หลงไปในเงานั้น ดูทางโลก เด็กเวลามันหลงแสงสีเสียง เด็กใจแตก พ่อแม่จะมีความทุกข์มาก เพราะอะไร เพราะเราเลี้ยงลูกมา เราต้องการให้ลูกสืบสกุล ต้องการให้สิ่งนี้เป็นของลูกเรา สมบัติเราหามาขนาดไหน จนคนที่มีฐานะทุกข์ยากมาก เวลาแสวงหาสิ่งนี้มาเพราะอะไร

เพราะความเชื่อไง ว่าสิ่งนี้เป็นที่พึ่ง สิ่งนี้จะมีความสุข แล้วก็พยายามประกอบสัมมาอาชีวะ จนมีฐานะมั่นคง จนมีสิ่งต่างๆ แล้วไม่มีใครรับมรดก ทุกข์มากนะ ทั้งๆ ที่สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกเขา เราเป็นทุกข์เพราะอะไร เพราะไม่มีใครจะรับสิ่งที่เราแสวงหามา ก็แสวงหามาก็ใช้สอยสิ ก็ใช้เป็นประโยชน์สิ ถ้าเราใช้เป็นประโยชน์

ดูในสมัยพุทธกาล เศรษฐีเขาจะมีโรงทานหน้าบ้านนะ เขาจะสละทานของเขา นี่ถ้าคนมีปัญญา เงินทองของเรามันจะเป็นประโยชน์มาก เงินทองของเราเพราะอะไร เพราะเราสละออกไปขนาดไหน มันจะสร้างคุณงามความดีกับเรา จะสร้างบารมีกับเรา จะสร้างสถานะของใจขึ้นมา ให้เหมือนกับพุทธวิสัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธลัทธิต่างๆ ปฏิเสธทั้งหมด สุภัททะเป็นพราหมณ์ ได้ไตรเพท ได้ทุกอย่าง ท่องจำได้ทั้งนั้น รู้ไปทั้งนั้นเลย ทำไมต้องมาถามล่ะ ถามพระพุทธเจ้าทำไม? ถามเพราะไม่รู้ไง ถามเพราะความทุกข์ในหัวใจไง นี่มันมีแต่เงา ตื่นแต่เงานะ ตื่นมาก ตื่นเงาว่า “ตัวเองมีความรู้ๆ” ความรู้อะไร? ความรู้อย่างนี้ความรู้โดยกิเลสมันมีประโยชน์อะไรล่ะ ความรู้โดยกิเลสก็เอาแต่ความทุกข์มาให้ไง กว้านเอาแต่ความทุกข์ เอาแต่ความเผาลนในหัวใจ เหมือนเด็กใจแตก เด็กใจแตกมันก็ต่อต้านพ่อแม่ มันต่อต้านทุกๆ คน เพราะอะไร

เพราะมันไม่พอใจ หาว่าสิ่งนั้นทำลายมัน มันยึดมันเองเป็นศูนย์กลาง เห็นไหม ในโลกทัศน์เรานี้เป็นใหญ่ แล้วเป็นใหญ่อย่างไร? เป็นใหญ่โดยกรรมไง ถ้าเกิดปัญหาในครอบครัว ครอบครัวนั้นมีปัญหา เด็กนั้นจะออกจากบ้าน ออกไปเป็นเด็กเร่ร่อน เขาก็ว่าเขาเป็นใหญ่อยู่ เขาต้องไปนอนกลางดินกินกลางทราย เขาก็จะไปทุกข์ของเขา เขาไม่ยอมรับความผูกพัน ไม่ยอมรับพ่อแม่ว่าพ่อแม่มีความรักขนาดไหน เขาไม่ยอมรับหรอก เพราะกิเลสมันบังตา กิเลสมันบังตา เห็นไหม นี่กรรม กรรมให้ผลอย่างนั้น

เวลาเด็กใจแตกมันหลงแสงสีเสียง มันหลงเข้าไป เขาก็เร่ร่อนไปเขาก็ทุกข์ ทำไมจะไม่ทุกข์ เพราะอะไร เพราะอยู่ในบ้านมีที่หลับที่นอน มีอาหารการกินเป็นปกติ พ่อแม่ส่งให้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อจะให้เรามีวุฒิภาวะ ให้เราทันสังคม ให้มีปัญญาเพื่อจะเอาตัวรอดให้ได้ ถ้าเอาตัวรอดได้แล้วจะรักษาสมบัติของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้อีกด้วย ถ้ามันเป็นไปตามธรรม นี่ครูบาอาจารย์ที่ฉลาดจะต้องอาศัยสิ่งนี้ “พ่อแม่ครูจารย์” เป็นทั้งพ่อทั้งแม่นะ ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ปัจจัยนี่ให้มักน้อยให้สันโดษเพราะอะไร ให้มักน้อยสันโดษเพราะไม่ให้มันใจแตกไง ให้มันรู้จักรักษา

คนประหยัดกับคนขี้เหนียวต่างกันนะ คนขี้เหนียว คนตระหนี่ถี่เหนียวคนอย่างนี้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่คนประหยัดสุดยอดคน เพราะอะไร เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มักน้อย ให้สันโดษ มักน้อยนะ สิ่งที่ว่าถือสันโดษแล้วสิ่งใดได้มาบิณฑบาตมาก็ฉันตามสภาวะแบบนั้น ปัจจัยเครื่องอาศัยมา สันโดษได้มาเท่าไรก็ใช้หมดเหรอ สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นสัปปายะ

การภิกษุ เวลาฉันอาหาร เวลาใช้สอยเครื่องนุ่งห่มนี่ต้องปฏิสังขาโย ภิกษุไม่ปฏิสังขาโยไม่มีสติใช้ปัจจัย ๔ เป็นอาบัติ อาบัติทุกกฏ ต้องปฏิสังขาโย ขณะห่มผ้า ห่มเพื่ออะไร จะทำเพื่ออะไร เห็นไหม ประหยัดมัธยัสถ์มันจะเกิดเป็นคนดีขึ้นมา สิ่งที่คนดีขึ้นมาความประหยัดของเรา แล้วธรรมวินัยขึ้นมา แล้วอริยวินัยล่ะ? ประหยัดแล้วนะ ยังต้องถือธุดงค์วัตรอีก เห็นไหม ถือผ้า ๓ ผืน คฤหบดีจีวรไม่รับ สิ่งที่รับขึ้นมา...

ขณะที่เราทำคุณงามความดี เราเป็นนักรบ ถ้าเราทำคุณงามความดี คนจะส่งเสริมมหาศาลเลย ทุกคนปรารถนาดีทั้งหมดเลย แต่ไว้ใจกันไม่ได้ ไม่เชื่อใจว่าผู้นำของเราจะเป็นคนดีจริงหรือเปล่า ผู้ที่กระทำนี่ต้องการเวลามันพิสูจน์คน แต่ผู้ที่มีปัญญาในหัวใจ สิ่งนี้มันจะย้อนกลับเข้ามาจากภายใน ความประหยัดเพราะอะไร เพราะสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์เป็นผู้นำ เป็นผู้ให้นิสัย แล้วถ้าพาลูกพาหลานออกไปตื่นเงานะ ไปตื่นกับเงา ไปหลงกับเงาแล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไรล่ะ มันต้องย้อนกลับมาเพราะอะไร

เพราะการใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ใครเป็นคนใช้? ถ้ามองทางโลกร่างกายเป็นคนใช้ อาหารเราก็ได้ฉันเข้าไปโดยปากของเรา ในกระเพาะของเรา สิ่งนี้เป็นอาหาร แต่สิ่งที่ซากศพ เวลาคนตายนี่เขาเอาเงินใส่ไปในปาก สัปเหร่อยังไปงัดออกมาเลย เห็นไหม คนตายแล้วกินได้ไหม คนตายใช้ประโยชน์อะไรได้ไหม คนตายแล้วเหลือแต่ธาตุ ธาตุ ๔ เท่านั้นเอง จิตวิญญาณออกไปแล้ว เราก็พิร่ำพิไรรำพันกัน โศกเศร้าเสียใจกัน เห็นไหม สิ่งนี้เพราะไม่ได้ศึกษาธรรม

ในฝ่ายมหายานเวลาเขาสวดศพ เขาสวดศพ เขาหัวเราะ เขารื่นเริง เขามีแต่ความรื่นเริงเพราะอะไร เพราะเขาเข้าใจตามความเป็นจริงไง ถ้าคนเข้าใจตามความเป็นจริงนะ ขณะที่ทำดีทำชั่วมีชีวิตอยู่นี่ได้ประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ พ่อแม่เราสิ่งที่ต่างๆ มีคุณประโยชน์ มีคุณกับเรา เราก็อุปัฏฐากตั้งแต่เดี๋ยวนี้นะ ไม่ใช่ไปเคาะโลงเวลาตายแล้วนะ ให้กินไอ้นั่นให้ทำไอ้นี่ แต่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยดูแลเลย ตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยแสวงหากันเลย ไม่เคยนึกถึงกัน ไม่เคยอาลัยอาวรณ์ ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย

สิ่งที่สัมพันธ์กัน เห็นไหม นี่สายบุญสายกรรม ถ้าสายบุญสายกรรม ครูบาอาจารย์ท่านจะเป็นผู้นำ ผู้นำอย่างนี้ไง ผู้นำใช้ผ้าบังสุกุล ฉันอาหารแบบสันโดษ มักน้อยๆ กินแต่พองาม ฉันแต่พองามเพราะอะไร เพราะฉันเข้าไปแล้วนี่ร่างกายมันมีพลังงานของมัน ถ้าร่างกายมีพลังงานของมัน นี่ธาตุขันธ์มีกำลังมาก เวลาประพฤติปฏิบัติจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ ประพฤติปฏิบัติก็นั่งโงกง่วง นั่งหาวนอน ประพฤติปฏิบัติกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี ทำไมเราไม่เห็นผลประโยชน์ของเราเลย นี่มันหลงเงา

ถ้าหลงเงา ในการประพฤติปฏิบัติของเรา นามรูป พิจารณานามรูป ว่า “สิ่งนี้เป็นวิปัสสนานะ ผู้ที่กำหนดพุทโธ ผู้ที่ทำความสงบของใจ อย่างนั้นมันไม่มีปัญญา เราใช้ปัญญา”...นี่เราหลงเงาแล้วนะ แล้วให้กิเลสมันต่อยหมัดที่ ๒ อีกนะว่า “สิ่งนี้เราประพฤติปฏิบัติเป็นวิปัสสนา เพราะเราเป็นนามรูป”...จริงๆ แล้วจิตก็เป็นนามรูปจริงๆ แต่ต้องเห็นนามรูปโดยความเป็นจริง ไม่ใช่เห็นเงา ไม่ใช่นามรูป มันเป็นเงาของนามรูป เพราะเป็นอาการของใจ

ถ้าเป็นอาการของใจ เห็นไหม เหมือนคนตื่น คนหลงทาง ดูสิ เวลาคนหลงทาง เวลาเขาผ่านไป เขาแสวงหา อย่างเช่น ต้นไม้ เขาจะไปหาต้นไม้ต้นนั้น แล้วเขาหาต้นไม้ต้นนั้นไม่เจอ เขาไม่เข้าใจต้นไม้ต้นนั้นคือต้นอะไร อย่างเช่น ต้นมะขาม เขาไม่รู้จักต้นมะขาม เขาเดินผ่านไปผ่านมา ต้นมะขาม เขาไม่เห็นต้นมะขามนะ เพราะเขาไม่รู้จัก เหมือนเราเข้าไปในกรุงเทพ เราจะไปหาตึก หาบริษัทในตึกสักหลังหนึ่ง แล้วเราก็รู้อยู่ว่าตึกหลังนี้ แต่เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ตึกหลังนี้อยู่ที่ไหน ทั้งๆ ที่เราขับรถผ่านไปผ่านมาๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าตึกหลังนี้เป็นบริษัทที่เราจะแสวงหา

ใจก็เหมือนกัน ถ้าหลงในเงานะ มันก็ไม่มีสติ ผ่านจิตนี่ผ่านไปผ่านมา บอกว่า “จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้จับต้องไม่ได้” นี่มันก็เดินผ่านจิตไปผ่านจิตมา แต่หาจิตไม่เจอ หาจิตไม่เจอเพราะไม่มีความจริงไง แล้วกิเลสมันก็ซ้ำเติม “จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้จับต้องไม่ได้” แล้วก็สังเกตสังกากันอยู่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นความเห็นของใจ นี่ตื่นเงา เราไปหาที่เงา ขณะที่ว่ามีสติสัมปชัญญะขนาดไหน ถ้าเงา...เงา ถ้ามันอยู่ในแสงนะ ถ้าที่ไหนมีแสงที่นั่นจะมีเงา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีจิต ในเมื่อมีกิเลสอยู่ สิ่งที่มีกิเลสอยู่มันก็ผลิตความคิดตลอดเวลา เราก็ไปดูความเกิดดับๆ สภาวะแบบนั้น นี่นามรูปๆ แต่ว่ามันเป็นนามธรรม เพราะอะไร เพราะเงา สิ่งที่ว่ารูปแบบอย่างไร แสงมันส่งไปก็เห็นรูปแบบนั้น ความคิดก็คิดไป คิดไปอย่างนั้น ผ่านไปผ่านมาไม่ได้ประโยชน์หรอก ไม่ได้ประโยชน์ ทั้งๆ ที่ว่าสิ่งนี้เป็นนามธรรมด้วยนะ เพราะสิ่งนี้เป็นนามธรรม แล้วสภาวะแบบนั้น

การประพฤติปฏิบัติแบบนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ศีล สมาธิ ปัญญา” ต้องมีศีล มีความปกติของใจ เราไปหาต้นมะขามนั้น ถ้าเรากำหนดพุทโธ ต้นแห่งผู้รู้ พุทโธๆๆๆ เราก็ย่ำรอยนั้นไป มันจะเข้าไปชนต้นมะขามนั้นเลย พอจะชนต้นมะขามมันจะรู้สึกเลยว่าต้นมะขามมีหรือไม่มี ต้นมะขามไม่มีได้อย่างไร หัวเราชนอยู่นี่ ขนาดหงายหลังมาเลย...ต้นมะขามมันมี จิตมันมีไง เห็นไหม ถ้าจิตมันมี นี่ความจริงไม่ใช่เงา

ถ้าเราเข้าถึงสัจจะความจริงอย่างนี้ได้ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันเป็นความสงบของใจ มันมีสติ มันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ สิ่งที่ความร่มเย็นเป็นสุขมันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากครูบาอาจารย์ที่รู้ ผู้รู้จะชี้เข้ามา ถ้าครูบาอาจารย์โง่เขลา ไม่มีความรู้ ว่า “จิตนี้เป็นนามธรรม” ขนาดว่าจิตนี้เป็นนามธรรมจิตนี้จับต้องไม่ได้นี่ สิ่งนี้มันขัดกับสัจจะความจริงแน่นอนอยู่แล้ว ขัดกับสัจจะความจริง เพราะความคิดมันมาจากไหน ความคิดเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากภวาสวะ เกิดมาจากภพ เกิดมาจากใจ สิ่งนี้มันมีอยู่แต่ว่าเป็นนามธรรม

เหมือนกับว่าทางโลกเขา เวลาจิตออกจากร่างกายไป เวลาคนตายแล้ว ญาติของเราตายไป เคาะโลงๆ ก็คิดว่าซากศพนี้เป็นญาติของเรา ไม่คิดหรอกว่าจิตที่ออกจากร่างนั้นเป็นญาติของเรา จิตที่ออกจากร่างต่างหากเป็นญาติของเรา เขาออกไปแล้ว ไอ้ธาตุ ๔ นี่มันอยู่ในโลงนี่มันเป็นแค่ธาตุเฉยๆ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมในการทำบุญกุศล เพราะอะไร เพราะเป็นศาสนาพุทธ

ถ้าเป็นศาสนาอื่นเขาก็ทำพิธีกรรมของเขาไปอีกแบบหนึ่ง ทำพิธีกรรมไปเพื่ออะไร พิธีกรรมไป เหมือนกับครูบาอาจารย์ที่มีปัญญา สิ่งที่มีปัญญา เศร้าโศกเสียใจ สิ่งนี้เสียใจมาก ก็ให้ทำบุญกุศลเพื่อจะให้ผ่อนความทุกข์ความระทมอันนี้ไง ความทุกข์ความระทม เห็นไหม ความทุกข์ความระทมถึงใคร? ก็ถึงญาติของเราที่ตายไป ไม่ได้คิดว่าทุกข์ระทมเพราะใจเรานะ ใจเราไปติดเอง มันเป็นสัจจะความจริงอย่างนี้ โลกนี้คนเกิดมาต้องตายทั้งหมด ใครจะอยู่ค้ำฟ้า เป็นไปไม่ได้หรอก เราเองก็ต้องตายไป

เวลาทำบุญกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ตราสัง ห่วงบุตรห่วงภรรยา สิ่งต่างๆ เวลาเวียน ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เอ็งต้องตาย เอ็งจะต้องเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้ เอ็งไม่พ้นจากวัฏฏะนี้ไปได้หรอก เห็นไหม นี่ถ้าคติธรรมย้อนกลับมา ถ้ามีสติสัมปชัญญะ แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำนะ มันเป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์วางไว้เป็นคติธรรมให้เราได้ศึกษา ให้เราได้เข้าใจ นี่มันก็ผ่อนมา

ใช่ วุฒิภาวะของใจก็ต่างกัน ในศาสนาเรานี่ ในศาสนาพุทธเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ ผู้ที่ศึกษาใหม่ ว่าเกิดมาก็เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธแต่ทะเบียนบ้าน ไม่เข้าใจสิ่งใดเลย พ่อแม่ก็สั่งสอน สั่งว่าสิ่งนี้ให้ทำบุญกุศล...ทำบุญกุศลเพราะอะไร? เพราะความรู้ของเรา เราก็ไม่เข้าใจ ยิ่งเป็นศัพท์ของศาสนา เวทนา เวทนาคืออะไร พอขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือขันน้ำหรือ...ว่าไปอย่างนั้นก็มีนะ

ขันธ์ ๕ ขันธ์เป็นกอง กองคือความรู้ ความคิด ความรู้สึกเรานี่ ถ้ารวบยอดแล้วมันเป็นรูปความรู้สึก มันจะเป็นสิ่งที่มีกำลังเข้มแข็ง ที่เราจะไม่สามารถเอาชนะตนเองได้ ถ้าแบ่งออกมาจากความรู้สึกของเรานี่ให้เป็นขันธ์ ๕ เป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ นี่ความคิดเราแบ่งออก สิ่งใดมันเป็นรูป สิ่งใดเป็นเวทนา ความรู้สึกแยกออก สิ่งที่มันเป็นกำลังที่เข้มแข็ง เราแบ่งออก แล้วกำลังเราก็จะเข้าไปยับยั้งมันได้ เราก็จะทันความคิดของเรา เห็นไหม สิ่งที่ทันความคิด นี่สิ่งนี้เป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แล้วบัญญัติวางธรรมไว้ให้พวกเราศึกษา ศึกษานี่เป็นปริยัติ สิ่งที่เป็นปริยัติ นี่เงา เงาทั้งนั้นเลย เราศึกษา ยิ่งศึกษามากขนาดไหนนะ ยิ่งสอบแข่งขันกัน ยิ่งได้สถานะ ยิ่งได้เลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่งนะ ตื่นเงาไป หลงแต่เงาไปนะ

โปฐิละในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...นี่เป็นผู้ที่รอบรู้ในพระไตรปิฎก รอบรู้ในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนได้หมด ลูกศิษย์ลูกหาเป็น ๕๐๐ นะ ถามปัญหาตอบได้หมดเลย สิ่งที่ตอบได้หมด เห็นไหม นี่หลงในเงา เพราะเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี้ก่อน แล้วใช้นี้เป็นทฤษฎี เป็นวิชาการเพื่อจะสั่งสอนศากยบุตร ให้บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าไปได้ดื่มกินความสงบของใจ ถ้าความสงบของใจ จิตมันเข้าไปสงบ นี่เริ่มต้นจากเทศนาว่าการ เริ่มต้นจากอนุปุพพิกถา ๕ ก่อน ตั้งแต่ทานขึ้นมา สิ่งที่เป็นทาน สิ่งที่เป็นสวรรค์ สิ่งที่เป็นเนกขัมมะ นี่เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สิ่งนี้เพื่อจะให้ใจพัฒนา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราจะสอนลูกสอนหลาน สอนของเราขึ้นมาเพื่ออะไร? เพราะสิ่งนี้เป็นอาหารของใจ เห็นไหม เวลาลูกใจแตก เวลาลูกมีความทุกข์เพราะอะไรล่ะ เพราะสิ่งนี้เขาไม่มีหลักยึด เขาไม่รู้สิ่งใดเลย เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็มีความทุกข์ในหัวใจ เราก็ไม่เข้าใจสิ่งใดเลยเพราะอะไร เพราะเรามองข้ามในเรื่องของศาสนาไปหมดไง

“ศาสนาเป็นหน้าที่ของพระ พระที่อยู่วัด พระก็ศึกษาธรรมไป”...ในศาสนาพุทธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านบอกฝากศาสนานี้เพื่อภิกษุเท่านั้นเองเหรอ? ท่านบอกอุบาสก อุบาสิกาด้วย อุบาสก อุบาสิกาแล้วแต่ว่าใครจะหยิบฉวย ใครจะตักตวงผลประโยชน์ในศาสนาได้มากได้น้อย

การตักตวงผลประโยชน์จากทางโลก การแข่งขัน การทำธุรกิจ ใครได้กำไรมาก ใครมีทรัพย์สินมาก คนนั้นจะมีมาก แต่ทางศาสนา การแข่งขันกันหาหลักของใจ การแข่งขันกันหาความสุข ถ้าหาความสุข เห็นไหม สุขใดๆ ในโลกนี้เท่ากับจิตสงบไม่มี แม้แต่เข้าไปชนกับต้นมะขามนั้น มันจะให้ความสงบของใจ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ขณะที่จิตสงบถ้าเราไปติดมัน เราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เราจะเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นธรรมเลย เพราะอะไร เพราะขณะที่เราพิจารณา เกิดดับ ความคิดเกิดดับ เราก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นวิปัสสนา...มันจะวิปัสสนาไปไหน อันนั้นเป็นอาการของใจ

สิ่งที่เป็นอาการของใจ มันเป็นเงาของต้นมะขาม ไม่ใช่ต้นมะขามนะ เห็นแต่เงาต้นมะขามก็ไปตะครุบมัน แล้วเวลาบ่ายคล้อยไป เงามะขามนั้นมันก็ออกไปไกล เราก็ไปตะครุบตรงปลายเงานั้น เวลาเที่ยง ตะวันขึ้นมา สิ่งนี้เงามันก็หดเข้ามา เราไปตะครุบตรงนั้นมันจะตะครุบอะไรล่ะ? ตะครุบเงาต้นมะขาม ปลายต้นมะขามนั้น มันก็เป็นแดดร้อนเปรี้ยงๆ เงาหดเข้ามา เพราะพระอาทิตย์ขึ้นมาตรงหัว

นี่เราไปตื่นเงาแล้วไปตะครุบเงา สิ่งที่ตะครุบเงาแล้วก็บอกว่าเงาต้นมะขาม ต้นมะขามอีกส่วนหนึ่ง เงาส่วนหนึ่ง เราตะครุบไปแม้แต่เงาเราก็ยังตะครุบไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นนามธรรม อาการของใจไม่ใช่ใจ แล้วเราไปดูเกิดดับๆ สภาวะแบบนั้น เห็นไหม นี่ตื่นแต่เงา ให้กิเลสมันหลอก ถ้ากิเลสมันหลอก เราจะโดนกิเลสชักลากออกไป

สิ่งที่เป็นประเพณี สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมต่างๆ ครูบาอาจารย์ให้ทวนกระแสเข้ามาถึงเรา ประเพณีนี้ไว้เพื่อสังคม สิ่งที่เป็นโลกเขา โลกเหมือนกับดอกไม้หลากสีร้อยเป็นพวงมาลัยขึ้นมา สิ่งนั้นจะสวยงามมาก ดอกไม้หลากสีแล้วอยู่กระจัดกระจาย สิ่งนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ สังคมต้องเป็นแบบนั้น สังคมเพื่อความสงบ สังคมเพื่อความร่มเย็นของเขา เขาต้องมีศีลธรรม สิ่งนี้เป็นเครื่องเชิดชู

“ชาติ” ชาติเกิดจากอะไร ถ้าไม่มีศาสนาชาติจะมาจากไหน ตัวศาสนา ตัวศาสนาตัวหล่อหลอมให้หัวใจเข้ามา เหมือนกับเป็นเชือกที่ร้อยพวงมาลัยนั้นเข้ามา ดอกไม้ก็คือมนุษย์ คือความเห็นร้อยเข้ามา แล้วถ้าร้อยเข้ามาเป็นสิ่งที่อาศัย เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่หัวใจเราล่ะ? หัวใจเรา ถ้าเราตื่นออกไป สิ่งสภาวะแบบนี้ เราไปตื่น เราไปเข้าใจว่าพอจิตมันปล่อยวางๆ อันนั้นเป็นธรรมๆ แล้วเราได้อะไร? เราจะไม่ได้อะไรเลย เพราะมันเป็นมิจฉาสมาธิ มันเป็นสิ่งที่เป็นสมาธิหัวตอ เป็นสมาธิที่ว่าไม่มีสติ

ถ้ามีสติขึ้นมา มันจะเข้าหาสัจจะความจริง เราจะต้องตั้งสติขึ้นมา เรากำหนดพุทโธๆ ให้ได้ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเราใช้ปัญญา ปัญญาโลกียปัญญา คนเรามีปัญญานะ ถ้าพูดถึงกรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธจริต พุทโธ ธัมโม สังโฆ เทวตานุสติ มรณานุสติ นึกถึงความตายก็เป็นสิ่งที่เตือนหัวใจตลอดเวลา ถ้าทำสิ่งนี้ไม่ได้ สัทธาจริตกับพุทธจริต

พุทธจริต คือปัญญามาก คนที่ไม่ยอมเชื่อสิ่งใดเลย เพราะถือว่าตัวเองมีปัญญามาก ต้องมีเหตุมีผล สิ่งที่มีเหตุมีผล เราคิดไป เราก็มีสติไป นี่ตามความคิดของเราไป “โลกียปัญญา” ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากเรานี่เรื่องของโลกๆ ทั้งหมดเลย คนจะเรียนมาขนาดไหน จบดอกเตอร์ เวลาทำวิจัย ถ้าไม่มีประสบการณ์ ทำไม่เป็นหรอก จบดอกเตอร์แล้วต้องทำวิจัย ทำวิจัยต่างๆ ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ต้องประชุมกัน สิ่งที่จบดอกเตอร์หรือไม่จบดอกเตอร์ไม่สำคัญ สำคัญแต่มุมมอง สำคัญแต่สิ่งที่สังเกต ความที่สังเกตแล้วมีจินตนาการว่าเราจะสร้างสรรค์สิ่งใด

การสร้างสรรค์สิ่งนี้ต่างหาก มันเป็นสิ่งที่ประสบการณ์ของจิต ถ้าประสบการณ์ของจิต เห็นไหม คณะนักวิจัยเขาต้องตั้งเป็นกรรมการคณะวิจัยขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อเอามุมมอง เพื่อเอาต่างๆ อย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องของโลกียปัญญานะ สิ่งที่โลกียปัญญาเขายังต้องใช้ประสบการณ์ ใช้สิ่งที่จินตนาการเข้ามาเพื่อสร้างเป็นวิทยาศาสตร์การค้นคว้าของเขา สิ่งนี้เป็นสมบัติโลกๆ แล้วสมบัติของความรู้สึก

ดูสิ ดูอย่างสถานะ สถานะของภพ ภพของมนุษย์ ภพที่หยาบๆ ภพที่ละเอียด ภพที่เป็นเทวดา อินทร์ พรหม วิทยาศาสตร์จับไม่ได้หรอก สิ่งนี้วิทยาศาสตร์จับไม่ได้เลย แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจับได้ ค้นคว้าได้ วิจัยได้ วิเคราะห์ได้ เห็นสภาวะนี้ทั้งหมดเลย เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันอยู่ในเราทั้งหมดเลย เพราะในมนุษย์มีร่างกาย คือเป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุ ธาตุ ๔ เป็นวัตถุ ดิน น้ำ ลม ไฟ จับต้องได้หมดเลย

แต่วิญญาณคือความรู้ วิญญาณนะ วิญาณนี้เกิดจากอายตนะนะ วิญญาณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วตัวใจล่ะ? ตัวใจคือตัวธาตุรู้ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตนี้มันเป็นวิญญาณที่ละเอียดเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่วิญญาณที่ละเอียดอันนี้มันอยู่ในเรา แล้วถ้าเวลาจิตเราสงบเข้าไปนี่ สิ่งที่ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ใครไปเกิด? ก็จิตวิญญาณนี่ไปเกิด แล้วจิตวิญญาณนี่อยู่กับเราไหม? อยู่กับเรา

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าสมาธิเราสงบเข้ามา เห็นไหม กาฬเทวิล นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้นะ กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ สิ่งนี้เขาระลึกได้ เขายังไม่เป็นอะไรเลย เขาระลึกของเขาได้ เพราะสิ่งนี้มันเหมือนสิ่งที่มีอยู่ไง สิ่งที่มีอยู่ นามรูปมีอยู่ ทุกอย่างมีอยู่หมดเลย เพียงแต่เราใช้กิเลสเข้าไปจับต้องมัน เราใช้สิ่งต่างๆ เราใช้เงา ใช้อาการของใจ เราไม่ใช้สัจจะความจริง ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งหมดแล้ว

แล้วเราว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ทำไมครูบาอาจารย์ที่ไม่มีปัญญาสอนอย่างนี้ล่ะ สอนออกไปโดยไม่มีสติโดยไม่มีสัมปชัญญะออกไปจากภายนอก ให้อาการของใจสาดออกไป ความรู้สึกส่งออกทั้งหมด แล้วไปทั้งหมด

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินะ มันจะเป็นปัญญาเข้ามา มันจะเป็นสติเข้ามา ใช้ปัญญานี้ใคร่ครวญ เห็นไหม ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าในพระไตรปิฎก ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ “ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร” กองสังขาร สังขารภายนอกสังขารภายใน สังขารภายนอกคือร่างกาย สังขารภายในคือความคิดความปรุงความแต่ง ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่บัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร? เพื่อให้สื่อถึงกันได้ไง

“รูป นามรูป” รูป คือความรู้สึกของใจ เวลาความคิดเกิดขึ้นนี่คือรูป เวทนา สุขหรือทุกข์ พอใจไม่พอใจ สัญญา คือการเทียบเคียงข้อมูล สังขาร คือความคิด ความปรุง ความแต่ง วิญญาณ วิญาณอะไรล่ะ? วิญญาณตา จักขุวิญญาณ วิญญาณหู โสตวิญญาณ วิญญาณจมูก ฆานวิญญาณ วิญญาณอย่างนี้เป็นวิญญาณอายตนะ วิญญาณอย่างนี้เป็นวิญญาณกระทบ เป็นวิญญาณเกิดจากในปัจจุบันนี้

ในปัจจุบันนี้เรามีอย่างนี้มันก็เป็นวิญญาณอย่างนี้ เป็นวิญญาณเป็นการสื่อกันโดยสมมุติไง เป็นวิญญาณที่ให้มนุษย์คุยกันรู้เรื่อง ให้มนุษย์สัมพันธ์สื่อสารกันได้ สิ่งที่สื่อสารกัน แต่ถ้าเวลาจิตมันสงบ ขณิกสมาธิ จิตสงบเล็กน้อย ขณิกะ อุปจารสมาธิ ระลึกเข้าไป ละเอียดเข้าไปโดยสติสัมปชัญญะประคองไป

“ไหนว่าจิตไม่มี จิตไม่มีประสบเข้าไป ทำไมสติมันรู้ละ” อุปจารสมาธิเวลาจิตออกไปเห็นนิมิต ออกไปเห็นต่างๆ ขณะที่อุปจารสมาธินี่ปีติมันเกิด ขณะที่ปีติเกิด พลิกฟ้าคว่ำดินก็ได้ จะทำสิ่งใดก็ได้ สิ่งที่ว่าเวลาจิตหลุดออกไป ออกไปเดินจงกรมบนอากาศก็ได้ เห็นต่างๆ นี่มันเห็นได้ มันรู้ได้ สิ่งที่เห็นได้รู้ได้นี้เป็นอะไร? นี่เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะอะไร เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่มีกิเลสอยู่ เห็นไหม ต้องให้เป็นสัมมา สัมมาคือย้อนกลับ ถ้าเราจิตมีความสงบเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ สิ่งนี้คือฐีติจิต จิตคือสิ่งที่มีอยู่ สติมันจับได้ มันรู้ไปทั้งหมดล่ะ นี่ข้อมูลอยู่ที่นี่ ถ้าระลึกอดีตชาติได้ นี่ข้อมูลจะเห็น

เราถึงว่า การพิสูจน์ว่านรกสวรรค์มีหรือไม่มี มันพิสูจน์จากเรานี่แหละ...สิ่งนี้มีอยู่ แล้วจิตของเรามหัศจรรย์ เกิดมาเป็นเราในปัจจุบันนี้ แล้วก็ไปหลงเงา ตะครุบแต่เงา ไม่ได้สัจจะความจริงแม้แต่น้อย แล้วให้กิเลสมันเสริม กิเลสมันยุแหย่ให้เราตื่นไปกับโลกเขา ตื่นไปกับโลกนะ ตื่นไปกับความรู้ ตื่นไปกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งที่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้จะเป็นทางลัด สิ่งนี้จะเป็นสมบัติของเรา

ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงนะ ท่านฟังแล้วท่านสังเวช สังเวชมากเพราะอะไร เพราะสัจจะความจริง อริยสัจอันเดียวกัน ความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน จนถึงพระสมณโคดม พระศรีอริยเมตไตรย มันอันเดียวกัน พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาต้องเป็นอันเดียวกัน ถ้าอันเดียวกันนี่ สิ่งที่สัจจะความจริงย้อนกลับมา ถ้าเป็นสัมมา สิ่งที่เป็นสัมมา เห็นไหม จิตมันเป็นสัมมาสมาธิ มันจะย้อนกลับ สิ่งที่ย้อนกลับ ย้อนกลับไปในอะไร? ถ้าเป็นวิปัสสนาขึ้นมา สิ่งที่จะเป็นปัญญา ปัญญามันจะเกิด ปัญญาที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าเป็นโลกียปัญญามันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากเราทั้งหมด

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เรามีอุดมการณ์ของเรา เราใช้สติของเราควบคุมเข้ามานี่เป้าหมายจบสิ้นกระบวนการของมันคือความคิด ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร คือมันจะสงบ มันจะปล่อยวางเท่านั้น สิ่งที่รอบรู้ในกองสังขาร เราก็ต้องให้มีสติสืบต่อไปบ่อยครั้งเข้า ถ้าสืบต่อไปบ่อยครั้งเข้ามันจะละเอียดเข้าไป สิ่งที่ละเอียดเข้าไปนี่มันจะไปจับต้องได้ มันจะไปเห็นตัวจิต มันจะไปเห็นอาการของใจ “ความคิดมาจากไหน ความรู้สึกมาจากไหน”

ถ้าคิดเรื่องกาย ถ้าพิจารณากายโดยปัญญาวิมุตติ ไม่เห็นสภาวะกาย แต่คิดเปรียบเทียบเคียงกายได้ ถ้าเห็นกายโดยโลกุตตรธรรมนะ เห็นกาย เวลาเราเทียบเคียงจากภิกษุเราบวชกับอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์จะให้กรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราก็คิดของเรา เกสา ผม ขน เล็บ ฟันหนัง เราก็พยายามใคร่ครวญของเราไป สิ่งนี้มันเป็นโลกียปัญญา คือมันคิดจากเราไง

แต่ถ้าเวลาจิตมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา มันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ถ้าจิตมันไม่ปล่อยวางเข้ามา มันมีอุปาทานของมัน มันเป็นโลก ถ้าปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่มันมีตัวตน มีเราขึ้นมา มันบวกกิเลส คือสิ่งที่มันไม่สมดุล มันไม่สะอาด เหมือนงานทดลองทางวิทยาศาสตร์ สารเคมีที่เอามาใช้นั้นมันไม่บริสุทธิ์ มันจะทดลองขนาดไหน ผลมันไม่ออกมาตามนั้นหรอก

นี่ไง เพราะมีสมมุติ มีกิเลสของเราเข้าไปเจือปน สิ่งนี้ถึงว่าเป็นโลกียปัญญา ถ้าโลกียปัญญามันมีตัวตนของเรา มีสิ่งต่างๆ เข้าไป เราถึงใช้ปัญญาอย่างนี้ก็ถูกต้อง ถูกต้อง เพียงแต่ต้องมีครูอาจารย์ชี้นำว่า สิ่งนี้เหมือนเรามีเป้าหมาย เราจะเดินเข้าไปต้นมะขาม ถ้าเราไปเดินเหยียบเงาของต้นมะขาม เราว่าเป็นต้นมะขาม เราถึงต้นมะขามไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติของเรา เราตั้งใจว่าสิ่งนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เราต้องพิจารณาของเราเข้าไปถึงที่สุด มันจะเข้าไปถึงต้นมะขามนั้น ถ้าอาการมันปล่อยอย่างนี้ เพราะมันเป็นนามรูปอย่างนี้ มันปล่อยแต่เงา อาการของใจมันหลงเงาอย่างนั้น มันจะเข้าไม่ถึงต้นมะขาม เห็นไหม เราถึงต้องไม่ให้หลง ถ้าหลงคือเป้าหมายผิด สิ่งที่เป็นเป้าหมายผิดคือความเข้าใจของเรา จิตนี่มันหลงนะ

ถ้าจิตนี้หลง มันเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็น เหมือนเช่นว่าเด็กใจแตก หรือถ้าเราเข้าไปในกรุงเทพ เราจะไปหาตึก เราผ่านไปผ่านมา แต่เราไม่เห็นหรอก เพราะอะไร เพราะเราไปเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่มี “จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้ไม่มี จิตจับต้องไม่ได้” นี่ถ้ามันหลงอย่างนี้ มันจับต้องไม่ได้...กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจเราอยู่แล้ว กิเลสมันคอยจะซ้ำเติม มันคอยแต่บิดเบือนการประพฤติปฏิบัติของเราอยู่แล้ว ถ้าเราไปเชื่อมั่นอย่างนั้น มันจะไม่ถึงนั้นเลย เดินผ่านไปผ่านมา จะสวนทางขนาดไหนก็ไม่เห็น

แต่ถ้าเรามั่นใจของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งนี้คือปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเราจะเข้าไปหาตัวจิต เราจะเข้าไปหาสมาธิของเราให้ได้ สมาธิคือฐาน คือฐีติจิต คือความตั้งมั่นของใจ ถ้าจิตมันตั้งมั่น เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันปล่อยวางขนาดไหน กระบวนการของการปล่อยวางมันจะเป็นสมถะทั้งหมดเลย เพราะมันเป็นโลกียปัญญาขึ้นมาก่อน สิ่งที่เป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญามันเป็นปัญญาของเรา ถ้ามันสิ้นกระบวนการของมันคือมันไปทำสารเคมีนั้นให้สะอาดไง

ถ้าสารเคมีนั้นสะอาดโดยสติสมบูรณ์ มันจะสิ้นสุดกระบวนการของมันคือรอบรู้ในกองสังขาร ถ้ารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถ้ามันผ่านขันธ์ ๕ เข้าไปมันจะไปถึงตัวจิต เวลาจิต เจตสิก เจตนา มันต้องออกตรงนี้มา นี่การสืบต่อระหว่างพลังงานคือตัวธาตุรู้ ตัวธาตุรู้มันเป็นความคิด ตัวจิตปฏิสนธิมันเป็นธาตุรู้เฉยๆ ถ้าไม่มีข้อมูล มันคิดอะไรไม่ได้หรอก

ขณะที่เรานั่งของเราเป็นปกติ เรานึกอะไรของเราหรือเราเห็นอะไรต่างๆ มันไม่มีความรู้สึก มันเห็นแต่มันไม่รู้ว่าคืออะไร เห็นไหม นี่ข้อมูลมันไม่พอ สิ่งที่ไม่พอ ถึงว่าสิ่งนี้เราก็เห็น ทำไมเรามันไม่ได้ล่ะ? มันไม่ใช่ขันธ์ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าปัญญามันพิจารณาเข้ามา มันจะรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด มันปล่อยเข้ามาสิ้นสุดกระบวนการของมันคือสมถะ แล้วสมถะนั้นคือตัวสมาธิไง ไหนว่าจิตไม่มี ไหนว่ากำหนดพุทโธแล้วมันจะไม่มีปัญญา ขณะใช้โลกียปัญญามันปล่อยวางเข้ามามันก็คือสมถะนั่นล่ะ มันก็คือสมาธินั่นล่ะ

เห็นไหม ถ้ามีสมาธิแล้ว กระบวนการของมรรค ถ้ากระบวนการของมรรค เห็นไหม ดำริชอบ เพียรชอบ งานชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ถ้าสมาธิชอบ สิ่งที่ชอบเพราะอะไร เพราะมันเริ่มเปลี่ยนจากมิจฉา คือความไม่กระทำการสิ่งใด มันปล่อยวางตัวมันเอง แล้วมันคิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรมไง แต่ถ้ามันเอาตัวของมันเองออกการกระทำ เอาตัวของมันเอง เอาตัวของจิตเองนี้ออกวิปัสสนา ออกรื้อค้น

ถ้าออกรื้อค้น นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาอย่างนี้มาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการภาวนามยปัญญา คือปัญญาเกิดจากใจ ปัญญาเกิดจากฐีติจิต ปัญญาเกิดจากหัวใจที่มันหลงตัวมันเอง เห็นไหม หลงตัวเองแล้วออกไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไปตู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้เป็นอาการของใจ แล้วปล่อยอาการของใจเข้ามาถึงตัวเอง ถึงไม่เป็นสัมมาไง ไม่เป็นสัมมาเพราะมันไม่ยอมยกขึ้นวิปัสสนา

ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาเป็นสัมมาแล้วก็ยังเป็นสัมมา แต่ไม่บริสุทธิ์ วิปัสสนาขนาดไหน เวลามันปล่อยวางชั่วคราว เห็นไหม ตทังคปหาน พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม ก็แล้วแต่ ถ้าพิจารณาถูกต้อง คำว่า “พิจารณาถูกต้อง” เวลาการกระทำของเรา เวลาทำความสงบของใจ ถ้าเป็นเป็นเจโตวิมุตตินะ ถ้าเราไม่เห็นกาย เราจะเอาอะไรไปวิปัสสนา ถ้าเราเห็นกายจะเห็นด้วยวิธีการสิ่งใด เพราะจิตมันสงบมันจะเห็นกายของมันนะ

สิ่งที่เห็นกาย พอเห็นกาย นี่ความเห็นกาย ขณะที่เห็นโดยเจโตวิมุตติมันจะตื่นเต้นมาก สิ่งที่ตื่นเต้นเพราะอะไร เพราะมันสะเทือนหัวใจ มันสะเทือนกิเลส สะเทือนกิเลสเพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งกางกั้นไง ถ้ามีสิ่งกางกั้น เห็นไหม ระหว่างที่ว่าเรา ร่างกายนี้เป็นเรา สรรพสิ่งนี้เป็นของเรา พอเป็นของเรา เราก็ไปยึดข้างนอก เห็นไหม กิเลสมันกางกั้น

แต่ขณะที่จิตมันสงบขึ้นมานี่ กิเลสมันยุบตัวลง มันเป็นอิสรภาพชั่วคราว เวลามันเห็นอย่างนั้น เหมือนกับเราไม่ใส่แว่นสี ถ้าเราใส่แว่นสีใด เรามองวัตถุสิ่งใด มันก็ผ่านแว่นสีนั้นล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีกิเลสอยู่ เราเห็นกายแต่ภายนอกโดยโลกียปัญญา เห็นแล้วปกติ เห็นแล้วก็คือเห็น แต่ถ้าขณะที่ว่าจิตนี้เป็นสมาธิ เราถอดแว่นนั้นได้นะ เราเห็นกาย มันจะสะเทือนหัวใจมาก พอมันสะเทือนหัวใจ สิ่งนี้มันจะหลุดไม้หลุดมือ คำว่า “หลุดไม้หลุดมือ” คือมันจะทรงสิ่งนี้ไม่ได้ แล้วเราทรงสิ่งนี้ได้ เราก็พยายามกลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ฐานกำลังใจนี้ กลับมาที่ตัวจิต ไม่ใช่กลับไปที่เงา

ถ้ากลับไปที่เงา ยิ่งเป็นเงานะ กิเลสมันจะให้ค่า เห็นไหม ขณะที่วิปัสสนาก็เป็นเงานะ เงาหมายถึงมันคิดเอง มันเป็นสัญญา มันคิดมันปรุงแต่งของมันขึ้นมา แล้วมันก็ปล่อยวาง “พอปล่อยวางเสร็จแล้ว ถ้าพิจารณากายเห็นกาย ปล่อยวางกายแล้วต้องเป็นโสดาบัน” นี่มันก็ไปเรียกร้องเอาผลไง แล้วก็พยายามทำให้ตัวเองเป็นผลนั้น แสดงตนว่าเป็นโสดาบันไง ถ้าจิตมันหลอก หลอกขนาดนี้นะ หลอกให้จิตนี้แสดงตน พอแสดงตนขึ้นไป คนตาบอดมันไม่รู้จริง มันแสดงตนออกไป มันก็แสดงออกไปโดยความไม่รู้ แสดงออกไปโดยความยึดมั่น แสดงออกไปโดยเป็นผลลบไง

แต่ถ้าคนเป็นความจริงนะ มันเห็นสัจจะความจริงของมัน มันแสดงตนออกไป คนเรานี่ สิ่งที่เป็นของบริสุทธิ์ เหมือนบัตรประจำตัวของเราเป็นของจริง เราจะแสดงที่ไหนก็ได้ เพราะของเราเป็นของจริง แต่ถ้าของเราเป็นของปลอม ปลอมนะ อย่างเช่นเราซื้อหามา หลักฐานมันไม่ตรงกับสัจจะความจริง เราไม่อยากจะให้ใครตรวจหรอก

สิ่งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันไม่เป็นสัมมา มันไม่เป็นสัจจะความจริงของมัน การแสดงตนอย่างนั้น แสดงตนโดยกิเลสไง สิ่งที่กิเลสแสดงตนขึ้นไป ผู้รู้นี่เห็น ผู้รู้นี่สังเวชนะ แต่สิ่งที่เราไม่เข้าใจ โดนกิเลสหลอก แล้วเราก็ว่าสิ่งนี้จะไม่มีใครรู้ไปกับเรา มันเป็นไปได้อย่างไร แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง เราถอดแว่นนั้นออกมา เราต้องหากาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกับคนทำหน้าที่การงาน

ดูสิ ดูทางกฎหมาย เราไม่มีสิทธิฟ้องเพราะเราไม่ใช่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายเท่านั้นจะเป็นผู้ฟ้องร้องกับผู้ที่กระทำความผิดนั้น ผู้เสียหายนะ เราเป็นคนธรรมดา เราจะไปเป็นผู้ไปฟ้องร้องเขา เขาไม่รับฟ้องนะ ศาลไม่รับฟ้องจนกว่าจะแก้กฎหมายให้มันเป็นอย่างนี้ถึงจะมีสิทธิฟ้องร้อง นี่ก็เหมือนกัน เราวิปัสสนา มันไม่ใช่สัจจะความจริง เราถึงรื้อค้นกิเลสไม่เจอ มันเป็นวิปัสสนาไปไม่ได้หรอก ความสะอาดเป็นสัมมาของมัน มันไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่ความเป็นสัมมามันไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันถึงไม่เป็นสมุจเฉทปหาน

การตื่นเงา การหลงเงา กิเลสมันมีอยู่ทุกขั้นตอนไป แม้แต่ทำความสงบของใจ กิเลสในหัวใจของเรา มันก็ทำให้เราบิดเบือนไปตลอดเวลา บิดเบือนนะ ทำให้เราติด ทำให้เราเสียเวลา แต่ถ้าเราจะทำสัจจะความจริง สัจจะความจริง ของที่มีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่า เห็นไหม แก้วแหวนเงินทองมีคุณค่า ทุกคนก็ปรารถนา ทุกคนก็ทำหน้าที่การงานขึ้นมาเพื่อผลตอบแทนอันนั้น

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มีคุณค่าขนาดนั้นเราก็แสวงหา แต่เวลาเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีคุณค่ามากกว่า มันละเอียดอ่อนกว่า สิ่งที่การกระทำของเรามันยิ่งต้องละเอียดอ่อน เห็นไหม สติ มหาสติ สติอัตโนมัติมันยังมีไปข้างหน้าอีกนะ ถ้าเราพยายามรื้อค้นของเรา เราใช้ปัญญาของเราโดยที่เราไม่ไปตื่นเงา สิ่งใดต้องตรวจสอบเทียบเคียง ยิ่งมีครูบาอาจารย์ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ นี่ถ้าเราสนทนาธรรมกัน

สิ่งที่สนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ ถ้าไม่มีสิ่งที่เราไว้ใจได้ การแสดงธรรมอันนี้ออกมามันจะขัดแย้งกัน สิ่งที่ขัดแย้งกันมันเป็นสัจจะความจริงแน่นอน ว่าต้องมีผู้ใดคนหนึ่งเป็นผู้ที่ผิด ถ้ามันเป็นความผิด เรามีเหตุมีผล เราแสวงหาของเรา เราก็แก้ไข แต่ถ้าของเราถูก ครูบาอาจารย์ผิด แสดงว่าครูบาอาจารย์องค์นั้นเป็นการแสดงตนโดยความไม่ชอบ สิ่งที่เป็นความไม่ชอบเพราะมันไม่เป็นความจริงอันนั้น สิ่งนั้นเราก็หลีกเร้นซะ ปล่อยไป

เพราะเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์นะ ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมมันต้องมีอำนาจวาสนา โสตะคือการพาดกระแส ถ้าเราได้โสตะ เราได้พาดกระแสแล้ สิ่งใดมันเป็นความอบอุ่นนะ วัฏฏะนี่เป็นเรื่องที่แสนทุกข์แสนยาก เหมือนกับเราที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย ขณะที่เราทำบุญกุศลเรายังมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติตลอดไป เราทำบุญกุศลตลอดไป พูดถึงถ้ามีศีล ๕ เราไม่ตกในอบายหรอก เพราะเกิดอีกก็เกิดเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์สมบัติสมบูรณ์

แต่เราไว้ใจเราได้ไหมล่ะ ในเมื่อกิเลสในหัวใจเรามันไม่ได้โดนสะกิดไปเลยนะ ถ้าไม่เจอกรรม ไม่เจอกระแสกรรมที่รุนแรงมันก็ยังถนอมรักษากันได้ ถ้าวันไหนถึงคราววิกฤต คือเวลากรรมมันเกิดขึ้นมา มันไปเจอสิ่งต่างๆ นี่มันทนไม่ไหวนะ ถ้าทนไม่ไหวอย่างนั้น เราก็ต้องสร้างกรรม สร้างกรรมแล้วอบายมันไปที่ไหนล่ะ

นี่วัฏฏะมันเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว เพราะจิตนี้มันต้องหมุนไปอย่างนี้ตามกำลังขับเคลื่อนอันนี้ แล้วมันมีกิเลสที่มันคอยขับไส กิเลสที่มันคอยจะแผลงฤทธิ์ในหัวใจของเรา แล้วเราไม่มีอะไรสิ่งใดจะไปดับมัน เห็นไหม ขณะที่มีศรัทธามีความเชื่ออย่างนี้ เราถึงต้องพยายามค้นคว้าของเรา พยายามขวนขวายของเรา นี่ต้องเชื่อมั่น ศรัทธาความเชื่อในอริยมรรค หัวใจของศาสนา อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

สิ่งที่เข้าใจถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงอริยสัจอย่างนี้ ก็ต้องปูพื้นมาก่อน ตั้งแต่ทาน ตั้งแต่ศีล แล้วเนกขัมมะ ถ้าเข้าถึงเนกขัมมะ คือเขาปล่อยวาง เขาสละเรื่องของโลกแล้วนะ นั่นแหละ หัวใจมันควรแก่การงาน ถ้าควรแก่การงาน มีศรัทธาความเชื่อ เราต้องหาพลังงานของเราขึ้นมา

ถ้ามีพลังงานขึ้นมา มีความสงบอย่างนี้ แล้วย้อนไปดูกาย เวทนา จิต ธรรม ให้สัจจะความจริงอย่างนี้ คือค้นคว้าค้นหาไง ค้นหาสิ่งที่เป็นงานของเรา นักวิทยาศาสตร์เขาจะทำการวิจัย เขาเรียนมาขนาดไหน เขาไม่มีประสบการณ์ มีแต่ไปนั่งคิดนะ เขาต้องไปเรียน ไปฝึกฝน ไปฝึกงานเชียวล่ะ แต่นี่เราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ความรู้สึกอยู่ในหัวใจของเรา สิ่งต่างๆ นี้มีพร้อมอยู่แล้ว แล้วเราเชื่อมั่นมาก

ถ้ามีความเชื่อมั่น เห็นไหม สิ่งที่มีคู่กับไม่มี มืดคู่กับสว่าง เป็นไปได้คู่กับเป็นไปไม่ได้ เราต้องอาศัยสิ่งนั้นนะ เวลาน้อยเนื้อต่ำใจ เวลามันมีความทุกข์นะ การประพฤติปฏิบัติใหม่นี่ กิเลสมันสอยเอาร่วงทุกคนไปแล้ว แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี ไปหาเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ไปฝึกฝนกับเขา ทั้งๆ ที่บารมีเต็มแล้วนะ

เวลามาค้นคว้าเอง สิ่งต่างๆ ถึงค้นคว้ากับเขามา ๖ ปีเต็มที่แล้วนะ เวลามาค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง คือทดสอบมาในโลกนี้หมดสิ้นกระบวนการแล้ว ไม่มีที่ไหนเลยที่จะวางใจได้ ถ้าเราจะทำของเราเอง คิดถึงตั้งแต่สมัยเด็กที่โคนต้นหว้า คิดถึงสัมมาสมาธิไง นี่เวลาค้นคว้าเองชั่ววันเดียว ชั่วคืนนั้น ชั่วคืนนั้นเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ไปทดสอบ ไปทำกับเขา เหมือนกับทางวิทยาศาสตร์ เขามองสิ่งต่างๆ ที่เขาค้นคว้าแล้ว เขาผลิตแล้ว ทำกับโลกนี้แล้ว สิ่งนี้ประชาชนเขาได้ใช้แล้ว มันเป็นประโยชน์ขนาดนี้ไง

แต่วิทยาศาสตร์มันต้องมีสิ่งใหม่ๆ อย่างแร่ธาตุต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณสิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้เป็นประโยชน์ทั้งหมดนะ แล้ววิทยาศาสตร์ นาโนเทคโนโลยีมันจะเล็กละเอียดไป เมื่อก่อนเขาชอบสิ่งที่ใหญ่ที่โตขึ้นมา เห็นไหม มันก็เกิดจากความคิดนี้ไง นาโน พุทโธๆ นี่นาโน สิ่งต่างๆ ความละเอียดอ่อนมากสะสมกันขึ้นมา จนกว่ามันจะตั้งมั่นของมันขึ้นมาในหัวใจ นี่นักวิทยาศาสตร์เขายังค้นคว้าขนาดนั้น เขาค้นหาของเขาขนาดนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของเขา แต่เรื่องของใจมันละเอียดอ่อนขนาดนี้

ถ้าพาดได้ พาดถึงโสตะ โสดาบัน ถ้าเราพาดกระแสได้นะ มันจะเป็นความอบอุ่นใจไง เกิดตายก็อีก ๗ ชาติเท่านั้น เกิดตายนะ ถ้าอย่างพระอานนท์จะต้องสิ้นกระบวนการในชาตินี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์จะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไง สิ่งที่เป็นพระอรหันต์เพราะเป็นผู้ที่รับช่วงต่อมา พระอานนท์ไปสร้างคุณประโยชน์มหาศาล เพราะเป็นพหูสูต จำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้มาก

แล้วขณะที่จำมา ขณะที่จำ เห็นไหม เทป เครื่องบันทึกเสียง มันต้องบันทึกให้ได้ ขณะที่ว่าเป็นโสดาบัน นี่สิ่งนี้มันมีการขวนขวาย มีความต้องการอยู่ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ พระอรหันต์ สิ่งต่างๆ โลกนี้เป็นสมมุติ สิ่งต่างๆ เป็นสมมุติทั้งหมดเลย การประพฤติปฏิบัติก็เป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ แต่สมมุติบัญญัตินี้มันเป็นพาหะ มันเป็นสิ่งที่เครื่องดำเนิน เราต้องมีความเข้มแข็ง

เรานะกิเลสทั้งตัวเลย แต่จะประพฤติปฏิบัติก็ว่าสิ่งนี้เป็นกิเลส สิ่งนั้นเป็นกิเลส...จะเป็นกิเลสหรือเป็นธรรม เราต้องต่อสู้ ต้องทดสอบ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เขาทดลอง พระอานนท์ขณะที่ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพหูสูต เป็นพระโสดาบัน ขณะที่ศึกษาธรรม จนพระพุทธเจ้าพยากรณ์ นี่ศึกษาธรรมอย่างนี้ ถ้ายังค้นคว้าอย่างนั้น ขณะที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าจะเป็นพระอรหันต์ คืนที่จะสังคายนา

“เราจะเป็นพระอรหันต์ พรุ่งนี้จะสังคายนาแล้ว” ใช้ทั้งหมดเลย ใช้เงา ใช้ความคิด ใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใคร่ครวญ ใคร่ครวญนั้นเป็นเงา เห็นไหม ที่ว่า “เอ้อ! ไม่ไหวแล้ว” เพราะพลังงานในหัวใจ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขณะที่ปัญญามันก้าวเดินจะรู้เลยว่างานของใจมันลงทุนลงแรงขนาดไหน มันจะเหนื่อยอ่อน มันจะทุกข์ขนาดไหน ขณะที่ปัญญามันก้าวเดิน

จนล้าปล่อย พอปล่อย เห็นไหม นี่เงา ปล่อยจากเงาจะเข้ามาเป็นความจริง ถ้าปล่อยความจริง สัจจะความจริงภายในหัวใจของพระอานนท์เกิดขึ้นมา ขณะเอนกายพัก สมุจเฉทปหานขาดออกไปเป็นพระอรหันต์ ขณะที่พระอานนท์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว จิตใจนี้สะอาดบริสุทธิ์มากนะ ขณะที่พระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบันอยู่ เวลาไปสั่งสอนภิกษุณี ภิกษุณีบางองค์เป็นพระอรหันต์นะ ภิกษุณีบางองค์เป็นพระอนาคา แล้วพระโสดาบันจะเอาธรรมไปแสดงให้เขาฟังนี่มันเขยขวนไง มันเขินขวนในหัวใจ เพราะกลัวตัวเองจะแสดงออกไปจะมีความผิดพลาด นิมนต์พระกัสสปะแสดงตลอดเลย

ขณะที่พระอานนท์มาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาในหัวใจของพระอานนท์เองแล้ว พระอานนท์เป็นผู้สืบต่อศาสนามาอีก ๔๐ ปี เทศน์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว พระอานนท์จำได้หมดเลย แล้วพระอานนท์มีปัญญาของพระอานนท์เองที่เทียบเคียงออกมาจากใจของพระอานนท์อีกต่างหากนะ นี่การสืบต่อศาสนามา สืบต่อศาสนามาอย่างนี้ไง

ถึงว่าถ้าจิตใจเราพาด โสตะ สิ่งที่โสตะมันจะเป็นการเชื่อมั่น เชื่อมั่นจากใจของเราเอง เราจะต้องไม่หมุนไปในวัฏฏะอย่างนี้อีกแล้ว วัฏฏะนี้เป็นที่อยู่ของจิต ที่เวลาเผาศพกันนี่วน ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตนี้ไปเกิดไปตายแน่นอน สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมก็เตือนอยู่ เพราะเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ

เพราะชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา สิ่งที่ศาสดาวางสิ่งใดไว้เป็นคติธรรม ไว้ให้กับชาวพุทธ นี่เตือนใจตลอดเลยว่าอย่าตื่นกับโลกเขาเกินไปนัก การเกิดมาในโลกนี้เราก็มีที่พึ่งอาศัย เราเป็นไปได้ตามโลกเขา ภิกษุบวชมาแล้วไม่ให้ตื่นกับสิ่งต่างๆ สิ่งที่มีเป็นกระแสของโลกเป็นเรื่องของโลกทั้งหมดเลย แล้วเรื่องของธรรมล่ะ เรื่องของธรรม ถ้าไม่นั่งทำสมาธิ ไม่หลับตาจะไม่รู้เรื่องของธรรมนะ

เรื่องสิ่งที่ศึกษาพระไตรปิฎกมา เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเงาของใจทั้งหมด สิ่งที่หลับตาแล้วทำความสงบของใจมีสติพร้อมขึ้นมา มันจะดึงสิ่งนี้เข้ามา แล้ววิปัสสนาค้นคว้าหาสิ่งนี้ สิ่งนี้ปัญญามันใคร่ครวญ สิ่งที่ใคร่ครวญกาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้เป็นเวทนา เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย จิตนี้เศร้าหมอง จิตนี้ผ่องใส มันก็ไม่ใช่เรา สิ่งที่มันเป็นกิเลสอยู่ มันเศร้าหมองมันผ่องใส มันโดนสิ่งนี้บังคับอยู่ นี่พิจารณาไปถึงที่สุดกระบวการของมัน

สิ่งที่เป็นสัมมาคือมันมรรคสามัคคี ระหว่างมรรคสามัคคี ความสมดุลของมันจะรวมตัวกันทั้งหมด รวมตัวกันเข้าไปทำลายจิตนี้ทั้งหมดเลย ถ้าพิจารณากาย เห็นไหม พิจารณากาย จิตนี้เป็นผู้พิจารณากาย ขณะที่เห็นสัจจะความจริง ใครเป็นผู้เห็น? ก็จิตเป็นผู้เห็น ปัญญาอันนั้นจะหลอมจิตนี้ให้ปล่อยกายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์

ขณะพิจารณาจิต เห็นไหม จิตนี้เป็นขันธ์ สภาวะขันธ์ สิ่งที่เป็นขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขณะที่เป็นสัมมาคือความสมดุลของมัน มรรคสามัคคีรวมตัว นี่ธรรมจักร สิ่งที่ธรรมจักรอย่างนี้ ถ้าจิตสภาวะเห็นอย่างนี้ การแสดงตนของจิตที่เป็นโสดาบันมันจะเป็นสัจจะความจริงไง จิตนี้จะเป็นความจริงของพระโสดาบันนะ

พระโสดาบันอยู่ที่ไหน? พระโสดาบันก็คือความรู้สึก คือจิตดวงนั้นน่ะ จิตดวงที่เห็นสภาวะนั้นเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบัน ใครจะไปให้ค่าพระโสดาบัน? สันทิฏฐิโก นี่สิ่งที่จิตรู้กระจ่างแจ้งขึ้นมาในหัวใจ นี่ปัญญาสภาวะแบบนี้ นี่คือภาวนามยปัญญา แล้วเข้าใคร่ครวญไป ขณะที่ว่าสมดุลเป็นพระโสดาบัน แต่ยกขึ้นสกิทาคามี ยกขึ้นสกิทาคามีมันก็เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะกิเลสอันละเอียดมันบิดเบือน เราถึงไม่เข้าใจ

เห็นไหม พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน ขณะที่เป็นพระโสดาบัน ถ้าใช้ปัญญาของพระอานนท์ไปมันก็ต้องก็ทะลุปรุโปร่งไป ทะลุปรุโปร่งไปไหน เพราะปัญญาของขั้นโสดาบันมันก็ใช้ปัญญาขั้นของโสดาบัน กระบวนการของมันมีขนาดนั้น เหมือนกับหน้าที่ของเขามีขนาดนั้น พอหมดหน้าที่กระบวนการของเขาแล้วมันหมดหน้าที่ หมดหน้าที่แต่จิตมันมีอยู่ กิเลสมันมีอยู่ ความรู้สึกเรามีอยู่ ถ้าเราทำความสงบที่ละเอียดเข้าไปมันจะเป็นสกิทาคามรรค

ถ้าเป็นสกิทาคามรรค ความที่ว่าไม่ตื่นในเงา ถ้าตื่นเงานะ ตื่นในเงา เงาคือสิ่งที่เราคาดหมาย เทียบเคียงกับขั้นโสดาบัน สิ่งนี้มันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะอะไร เพราะมันเป็นสัญญา มันเป็นอดีต มันเป็นสิ่งต่างๆ อดีตอนาคตแก้กิเลสไม่ได้ อดีต อนาคตเป็นคติเตือนใจเท่านั้น ขณะที่ปฏิบัติต้องให้เกิดในปัจจุบันนั้น ถ้าปัจจุบันนั้นมันก็ใคร่ครวญไป สิ่งนี้สิ่งที่ใคร่ครวญไปนี้มันเป็นอุปาทาน ถ้าอุปาทาน กาย เวทนา จิต ธรรม ปล่อยวางขนาดไหน มันจะปล่อยของมันนะ ถ้าปล่อยสภาวะแบบนี้ ปล่อยแล้วปล่อยเล่า ขณะที่ปล่อย คำว่า “ปล่อย” ไม่ใช่ขาด

คำว่า “ปล่อย” เพราะมันปล่อยชั่วคราว เพราะกิเลสมันอยู่กับเรา เวลาปล่อยกิเลสมันก็ปล่อยด้วย มันก็ซุกอยู่ในใจของเรา มันไม่มีสิ่งใดตอบสนอง เพราะอะไร เพราะมันไม่เป็นความจริงของมัน นี่เราก็ทำซ้ำของเรา เพื่ออะไร? เพื่อไม่ให้กิเลสมันสอดแทรกเข้ามา

กิเลสนี้ร้ายกาจนัก กิเลสขณะที่เราคิด ถ้าเป็นเงา กิเลสมันสร้างภาพ ยิ่งศึกษาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นี่พระสกิทาคามีจะมีคุณสมบัติอย่างนี้ มันสร้างภาพเลย มันทำให้เราเป็นขึ้นมาโดยกิเลส...โดยกิเลสสถาปนามันก็จะติดอยู่อย่างนั้น ถ้าคนไม่มีสติ ไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ มันจะทำให้เสียวลา เนิ่นช้ามาก

แต่ถ้าเรามีครูมีอาจารย์ “พ่อแม่ครูจารย์” ถ้าเป็นพ่อแม่เป็นครูอาจารย์ของเราได้เพราะอะไร เพราะท่านมีหัวใจนะ ท่านมีสิ่งที่เป็นอาวุธ ท่านมีสิ่งที่เป็นคติธรรม ท่านมีสิ่งที่เตือนใจเรา เห็นไหม คำพูดของท่านมันสะกิดใจเรา เรามีความฉงนสนเท่ห์ เรามีความเทียบเคียง นี่ถ้าเทียบเคียงอาการของกิเลสมันเกิด เราจะเห็นชัดเจนมาก เราก็ใคร่ครวญของเราไปเรื่อยๆ พิจารณาของเราไปเรื่อยๆ ให้สมดุล ให้ปัญญามันก้าวเดินไป ถึงที่สุด พิจารณาไปถึงที่สุด กายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติ กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง ขั้นของสกิทาคามีว่างหมด สิ่งที่ว่าง สิ่งนี้เป็นสัมมา

คำว่า “สัมมา” คือมันเป็นหนเดียว หนเดียวระหว่างขั้นตอนของจิต ขณะจิตที่เปลี่ยนเป็นโสดาบัน สกิทานี่มันเป็นหนเดียว ขณะที่วิปัสสนาปล่อยวางบ่อยๆ ครั้งเข้า มันเป็นธรรมก็จริงอยู่ กิเลสแก้กิเลสไม่ได้ ต้องเป็นธรรมถึงแก้กิเลสได้ คำว่า “เป็นธรรม” ต้องเป็นสัจจะความจริง ถ้าเป็นเงาก็แก้กิเลสไม่ได้ ต้องเป็นความจริงถึงแก้กิเลสได้ ถ้าอาการของใจ มันเป็นมิจฉาสมาธิ มันจะแก้กิเลสของใจได้อย่างไร

แต่ถ้ามันเป็นต้นมะขาม มันเป็นต้นของจิต มันเป็นพุทธะ สิ่งนี้เป็นสัมมา สัมมาคือสัมมาในสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิถ้าไม่มีดำริชอบ เพียรชอบ มันจะเป็นมรรค ๘ ไหม สัมมาสมาธิเป็นหนึ่งในมรรค ๘ สัมมาสมาธินี้ก็เป็นหนึ่งเดียว แต่ดำริชอบ งานชอบมันยังไม่เป็นสัมมา มันยังจับต้องไม่ได้เลย เราถึงต้องรื้อค้น คุ้ยเขี่ย ขุดค้นหากาย เวทนา จิต ธรรม มันถึงเป็นสัมมาขึ้นมาเรื่อยๆ

“มรรค ๑ มรรค ๒ มรรค ๓ มรรค ๔ มรรค ๕ มรรค ๖ มรรค ๗ มรรค ๘” มรรค ๘ มันพิจารณาไป มรรค ๘ มันก็เคลื่อนไป เพราะธรรมจักรมันก็เคลื่อนไป ภาวนามยปัญญาก็หมุนไป สิ่งที่หมุนไปนี้ นี่สิ่งนี้เป็นสัจจะความจริง สิ่งนี้เกิดจากใจของผู้ประพฤติปฏิบัติเท่านั้น สิ่งที่ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาจากใจดวงใด ใจดวงนั้นจะเห็นอาการอย่างนั้น ถ้าใจเห็นอาการอย่างนั้น พิสูจน์กัน วิเคราะห์วิจัยกัน ภาวนาจนปัญญามันเข้ากัน มันก็ขาดเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา นี่สิ่งนี้เป็นขณะ

ขณะที่จิตสมดุลเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นสัมมาทั้งหมด นี่มรรคญาณเกิดขึ้น มรรคสามัคคีแต่ละหน นี่ขณะจิต แล้วก็ติด ติดทุกขั้นตอน เพราะกิเลสอย่างละเอียดมันไม่มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าเราย้อนกลับขึ้นไป ทำความสงบของใจได้ อย่าไปนอนใจอยู่ระหว่างกายกับจิตนี้ มันจะเวิ้งว้างมาก ถ้าจับได้ เห็นไหม ถ้าจับได้เป็นกามราคะ กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกัน สิ่งนี้เป็นกามราคะนะ

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีครูอาจารย์ เข้าใจกันว่าเวลาพิจารณาไป พิจารณากายไปจะเห็นร่างกาย เห็นกระดูก เห็นกระดูกพูดได้...สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่เขาคาดหมายคาดคะเนนะ เวลาพิจารณากายเป็นส่วนหนึ่ง ขณะที่เราพิจารณากาย กายละเอียด นี่กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กายอันหนึ่ง ระหว่างกายเป็นธาตุเป็นขันธ์อันหนึ่ง ระหว่างที่กายเป็นอสุภะนี่เป็นอีกอันหนึ่ง

ขณะที่เราพิจารณากายเป็นอสุภะ ถ้าเราจับนะ เราย้อนกลับไปพิจารณากายที่เป็นอสุภะนี้ได้ จับกายอันละเอียดนี้ได้ มันจะเป็นกามราคะ ถ้ากามราคะ ถ้าจิตมันวิปัสสนาไป มันก้าวเดินไป กำลังของจิตที่เป็นมิจฉา มันมองออกไปมันจะเห็นเป็นคน เป็นเลือดไปหมดเลยนะ เห็นคนนี่...กำลังของจิตมันเป็นได้ขนาดนั้น ขณะที่เราเพ่งออกไป จะเห็นคนนี่ไม่มีเสื้อผ้าเลย ไม่มีหนังเลย

ขณะที่เห็นเข้าไปวิปัสสนาสิ่งที่เป็นอสุภะอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาพิจารณาอย่างนี้มันถึงเห็นกระดูกพูดได้ไง เวลามองขึ้นไปในรถเมล์ นั่งอยู่ในรถเมล์ ถ้าคนจะเห็นสภาวะแบบนี้ได้มันต้องอยู่ที่อนาคามรรค ถ้าไม่ใช่อนาคามรรคจะไม่เห็นสภาวะแบบนี้ ถ้ามีสภาวะแบบนี้ การที่สถาปนาโดยกิเลสมันก็ว่าของมันไปไง

สิ่งที่จะเป็นอนาคามรรค จะเห็นกระดูกพูดได้ เห็นสิ่งต่างๆ นี้เป็นมิจฉานะ เป็นมิจฉาเพราะอะไร เพราะมันเห็นข้างนอก มันเห็นส่งออกไป ถ้าเป็นสัมมา สัมมาจะย้อนกลับ ย้อนกลับเข้ามา สิ่งที่ย้อนกลับเข้ามาเห็นอะไร อสุภะอยู่ที่ไหน สิ่งที่อสุภะมันเห็นจากตาของใจ ถ้าตาของใจมันต้องสมาธิ เราเดินจงกรมอยู่ เห็นซากศพอยู่ข้างหน้า เดินอยู่ข้างหน้า วิปัสสนาไปมันจะละลายลงต่อหน้าทางจงกรมนั้น เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากการประพฤติปฏิบัติ

ถ้าจะเป็นกระดูกพูดได้ ถ้าจะเคยเห็นสภาวะแบบนี้ มันจะเห็นจากการวิปัสสนาจากภายใน จากภายในนะ จากสิ่งที่เป็นอนาคามรรคนะ แล้วการใคร่ครวญบ่อยครั้งเข้าๆ มันถึงจะเป็นสัมมา สัมมาคือมันปล่อยจากภายนอกเข้ามา ถ้าจิตนี้ส่งออกไปแล้วเห็นสภาวะแบบนั้น ความคิดของพวกเราว่าเห็นสภาวะแบบนั้นจะเป็นสิ่งที่เป็นอุตริมนุสสธรรม คือธรรมเหนือมนุษย์ไง สิ่งนั้นกิเลสมันหลอก ขณะที่ก้าวเดินนี่ กิเลสหลงในเงา กิเลสละเอียดมันจะมีสิ่งนี้มาทำให้การประพฤติปฏิบัติเราล้มลุกคลุกคลานไง

ถ้าแง่มุมของกิเลส สิ่งที่เป็นเงาของกิเลสที่กิเลสมันจะซ้ำเติมในการประพฤติปฏิบัติ มันทำให้ขณะที่เราเห็นสภาวะแบบนี้เพราะอะไร เพราะอยู่ในขั้นอนาคามรรค ถ้ามันส่งออกมันจะเห็นสภาวะแบบนั้น ถึงต้องใช้สติดึงกลับมาวิปัสสนาจากภายใน เห็นอสุภะขนาดไหน จิตมันปล่อย เห็นความเป็นไปนี่มันปล่อย ปล่อยคือว่าง ว่างก็ซ้ำ ซ้ำสภาวะแบบนี้ จากมิจฉามันจะกลายเป็นสัมมาคือละเอียดอ่อนเข้าไปๆ ละเอียดอ่อนขนาดไหนมันจะว่าง สิ่งที่ว่างมาก นี่ขั้นของน้ำป่า ขั้นของปัญญาในกามราคะ เห็นไหม แม่ทัพของกษัตริย์ได้ดาบอาญาสิทธิ์มา ดาบอาญาสิทธิ์นั้น เวลาเขาจัดทัพของเขา ถ้าเขาสั่งทหารไม่ทำตาม เขาตัดหัวได้หมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน วิปัสสนา สิ่งที่วิปัสสนา นี่ทหาร สิ่งที่มรรคญาณมันกำลังเกิดขึ้น แล้วดาบอาญาสิทธิ์นั้นมันเป็นของใคร ดาบอาญาสิทธิ์นั้นเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มันเกิดจากปัญญาของเรา มันเกิดจากการต่อสู้ของเรา มันเกิดจากการใคร่ครวญของเรา ขณะออกทัพจับศึก มันต้องใช้ปัญญาของเรา เล่ห์กลการศึกเท่านั้น มันทำให้เราชนะสงครามนั้นได้ เล่ห์กลศึกนั้น นั่นเล่ห์กลนะ

แต่นี่ปัญญาของเรา มันจะชำระกิเลสของเรา มันต้องย้อนกลับๆ มันจะละเอียดเข้ามาถึงใจ แล้วมันกลืนลงที่ใจ ระเบิดลงที่ใจ ใจนี้ระเบิดหมด นี่เป็นได้หนเดียวเหมือนกัน หนเดียวคือมันปล่อยขาด โลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลย ซับซ้อนอย่างไร ฝึกซ้อมเข้ามาจนละเอียดเข้าไป จนถึงจักรพรรดิ สิ่งที่เป็นจักรพรรดินะ นี่หลงใหล หลงเข้าไปนอนจมอยู่กับมันไง จับตัวนี้ไม่ได้หรอก

สิ่งที่เป็นเงา เงาอย่างหยาบๆ ว่า “จิตจับต้องไม่ได้ จิตไม่มี” อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ จิตตัวนี้มันละเอียดอ่อนมาก ว่างหมด เห็นไหม เวลาว่าง คำว่า “ว่าง” มันว่างมาจากข้างนอก มันเห็นคนอื่นว่างหมดเลย แต่ตัวมันเองไม่ยอมย้อนกลับไปตัวมันเอง นี่สิ่งนี้หลงอันละเอียดนี้ยิ่งลึกลับใหญ่เลย ถ้าย้อนกลับถึงที่สุด เห็นไหม จับตรงนี้ได้

ความเศร้าหมอง ความผ่องใส “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตต่างๆ” เห็นไหม จับตัวนี้แล้วใช้ปัญญาญาณย้อนกลับ สิ่งที่ย้อนกลับ ทำลายอวิชชา เพราะมันเป็นอวิชชา มันถึงไม่รู้ตัวมันเอง อวิชชานะไม่รู้ตัวมันเอง แต่มันว่ามันมีปัญญามาก มันมีเงามาก สิ่งที่เงามาก มันจะอาศัยเงาพลังงานของอวิชชา ความผ่องใสอันนี้ออกไปสืบต่อ ออกไประหว่างขันธ์ จนออกไปหาเหยื่อจากภายนอกนะ สิ่งที่เหยื่อจากภายนอก เห็นไหม แล้วเราก็ไปตื่นเงากันมา ถ้าเราไปตื่นที่เงาจะไม่ได้อะไรเลย

แต่ถ้าเราเข้าไปถึงตัวจิต ศีล สมาธิ ปัญญา จากครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้าครูบาอาจารย์ของเราไม่ได้รู้จริง จะไม่สามารถสอนได้จริง เพราะครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นผู้รื้อค้นมานะ ถึงได้จรรโลงศาสนา ศาสนาที่เข้าไปถึงธรรม เห็นไหม ถึงธรรมเพราะอะไร เพราะผู้ที่รู้ธรรม ครูบาอาจารย์เรารู้ธรรม เคารพธรรมมาก

เคารพธรรมเพราะอะไร เพราะปฏิปทาเครื่องดำเนิน สิ่งที่เป็นเครื่องดำเนิน มรรคญาณ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ กลั่นออกมาจากมรรค แล้วปฏิปทาใครจะสงวนใครจะรักษาล่ะ ศาสนาเจริญ เจริญตรงนี้ เจริญตรงที่ครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์รื้อค้นสิ่งนี้มาแล้ววางไว้

เราเป็นสาวก เราเป็นลูกศิษย์ เราเป็นศากยบุตร เราเป็นผู้ที่จะสืบต่อมา เราอย่าไปตื่นเงา สิ่งที่ว่าจะทุกข์ยาก จะลำบากข้นแค้นขนาดไหน สิ่งที่ลำบากข้นแค้นมันอยู่ที่บารมีของบุคคลนะ ถ้าบุคคลพระสีวลีร่ำรวยมาก ผู้ที่ทุกข์ยากในสมัยพุทธกาลก็มี สิ่งที่ทุกข์ยากนั้นคือเราสร้างสมมา สิ่งที่จะทุกข์ยากหรือมั่งมีไม่สำคัญ สำคัญขอซื่อสัตย์กับตัวเอง ขอให้พยายามประพฤติปฏิบัติ ขอให้เคารพธรรมและวินัย แล้วเราจะไม่หลงเงาของกิเลส เราจะเข้าถึงสัจจะความจริงในอริยมรรค แล้วเราจะเป็นผู้ที่สิ้นจากกิเลส เอวัง